นายชาตรี วงศ์เกตุ ชาวบ้านตำบลน้ำตก อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เดินทางมาพร้อมกับนายสุวรรณ บัวโรย ประธานศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สมาคมส่งเสริมคุณธรรมตำรวจและช่วยเหลือประชาชน และนายปริญญา จิตต์เจษฎาภรณ์ ทนายความ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกระทรวงยุติธรรม
โดยนายชาตรี วงศ์เกตุ เปิดเผยว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากที่ดินของตนถูกเจ้าหน้าที่บังคับคดีนำหมายศาลมายังที่ดินพิพาท เพื่อที่จะรื้อแนวรั้วกั้นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา และได้ทำการรื้อรั้วแนวกั้นไปแล้ว พร้อมทั้งได้ทำการรังวัดที่ดินแนวเขตใหม่ตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งหลังจากที่ได้รังวัดที่ดินใหม่แล้ว ปรากฎว่าที่ดินของตนเองหายไปเกือบ 4 ไร่แต่เนื้อที่ของคู่กรณีที่มีรั้วติดต่อกันมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น
ตนเชื่อในพยานหลักฐานและพยานบุคคลเกี่ยวกับที่ดินพิพาทว่าเป็นของตนเองแน่นอน เพราะตนได้ซื้อที่ดินนางสาวอรวรรณ ยอดพรมมา ซึ่งเป็นตัวแทนขาย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2553 และได้มีการแจ้งทำการล้อมรั้วเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 ที่สถานีตำรวจภูธรนาน้อย กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดน่าน โดยมีพันตำรวจโทวิฑูร ชัยวุฒิ พนักงานสอบสวนเวรรับทราบ แล้วลงมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และขณะที่ทำการตั้งแนวรั้วนางสาวอรวรรณก็เป็นผู้ชี้เขตแดนให้ตั้งแนวรั้ว โดยมีนายสะอาด มาคำ ซึ่งเป็นกำนันในขณะนั้นร่วมอยู่ด้วย ซึ่งแนวรั้วดังกล่าวก็มีมาก่อนที่คู่กรณีมาซื้อที่ดินติดกันเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า แนวรั้วนั้นอยู่ในที่ดินของตน และตนก็ได้ทำหนังสือบันทึกการอุทิศ/บริจาคที่ดิน ในการวางท่อสาธารณประโยชน์ยาว 800 เมตร กับนางวนิดาภรณ์ ทิพน์ปาละ รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล รักษาราชการแทนปลัสนดองค์การบริหารส่วนตำบล วันที่ 21 สิงหาคม 2560 โดยมีนายชยุต จิตรานนท์ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำตก และเจ้าหน้าที่ของ อบต.น้ำตก พร้อมด้วยลูกบ้านจำนวน 50 คน ได้มาขอวางท่อสระน้ำประโยชน์ ดังนั้นที่ดินดังกล่าวก็ต้องเป็นของตน รวมทั้ง ตนก็มีพยานหลักฐานสำเนาภาพถ่ายแนวเขตป่าไม้ของจังหวัดน่านปี 2556 และ 2562
อีกทั้งตนเองเคยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคู่กรณีในคดีที่ดังกล่าวมาแล้วถึง 2 ครั้ง ศาลจังหวัดมีคำพิพากษาว่าคู่กรณีมีความผิดฐานบุกรุก มีโทษจำคุก และให้ชดใช้ค่าเสียหาย ถึงแน่ใจว่าที่ดินนั้นเป็นของตนอย่างแน่นอน
จากกรณีดังกล่าว ที้ดินของตนหายไปเกือบ 4 ไร่ ตนจึงอยาก
ขอให้มีการรังวัดที่ดินทั้ง 3 แปลง ทั้งที่ดินของตนกับคู่กรณีใหม่ จะได้ทราบว่าที่ดินของแต่ละคนนั้นมีอาณาเขตพื้นที่ถึงตรงไหน แต่คู่กรณีกลับไม่กล้าที่จะให้รังวัดที่ดิน
แต่เมื่อตนเองได้ไปร้องขอความเป็นธรรมจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดน่าน และอีกหลายหน่วยงาน แต่ก็ไม่ได้ความเป็นธรรม เรื่องเงียบหาย วันนี้ตนจึงได้มายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมที่กระทรวงยุติธรรม แต่ขณะที่กำลังพูดคุยอยู่นั้น จู่ๆ นายชาตรีก็เดินไปผูกคอกับกำแพงรั้วกระทรวงยุติธรรม พร้อมกล่าวทั้งทั้งน้ำตาว่า ถ้าวันนี้ไม่มีใครมารับหนังสือร้องเรียน ตนจะผูกคอตายอยู่ที่นี่ ทำให้นักข่าวต้องค่อยๆ เกลี่ยกล่อมให้นายชาตรีใจเย็นๆ จนมีนางสาวศกลวรรณ ชัยภัคดี หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปและกลุ่มงานนิติการ 3 ออกมาพูดคุย พร้อมทั้งเจรจาให้นายชาตรี สบายใจ และเชิญเข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ข้างใน เพื่อจะได้รู้ที่มาที่ไป หลังจากที่รายละเอียดต่างๆ แล้ว นายปริญญ์วัฒน์ เปี่ยมปิ่นวงศ์ หัวหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ก็ได้มารับหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากนายชาตรี วงศ์เกตุ พร้อมรับปากว่าจะช่วยเหลือให้ได้รับความเป็นธรรม โดยทางกระทรวงยุติธรรมจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมที่ดินให่ส่งเรื่องไปที่กรมที่ดินจังหวัดน่าน เพื่อให้รังวัดที่ดินพิพาทใหม่อีกครั้ง